Wednesday, May 30, 2012

คำถามโลกแตก LCD TV หรือ Plasma TV ต่างกันอย่างไร อะไรดีกว่ากัน ??

คำถามโลกแตก LCD TV หรือ Plasma TV ต่างกันอย่างไร อะไรดีกว่ากัน ??

จัดได้ว่าเป็นคำถามยอดฮิตที่สุดในสามโลกสำหรับจะเลือกซื้อทีวีเครื่องใหม่ซักเครื่องครับสำหรับการเปรียบเทียบระหว่าง LCD TV และ Plasma TV ว่าทีวีชนิดไหนดีกว่ากัน ? ก่อนจะให้คำตอบนั้นก็คงต้องไปดูหลักการทำงานและข้อดีข้อเสียของทีวีทั้ง 2 ชนิดนี้ก่อนครับ 
alt
LCD TV VS Plasma TV

LCD (Liquid Crystal Display) แสดงภาพโดยเริ่มจากแหล่งกำเนิดแสง "Backlight" (ในที่นี้คือหลอด CCFL และหลอด LED) ส่องแสงไปที่ผลึกแข็งกึ่งเหลว ลักษณะคล้ายๆปีโป้ และเจ้าผลึกแข็งกึ่งเหลว Liquid Crystal จะถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ในส่วนที่เป็น "ประตู" นั้น "บิดหมุน" เพื่อให้แสงจากหลอด Backlight ลอดผ่านไปยัง Color Filter แม่สีทั้ง 3 สี RGB ผสมกันออกมาแสงสีต่างๆ 

alt
รูปหลอดไฟ CCFL Backlight ที่เป็นตัวกำเนิดแสงของ LCD TV 

LCD TV นั้น แต่ละพิกเซลไม่สามารถกำเนิดแสงได้เอง จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งกำเนิดแสงจากหลอด Backlight และมี "ประตู" Liquid Crystal ผลึกแข็งกึ่งเหลวเป็นตัวกำหนดว่าจะให้แสงลอดไปยังแม่สีใดบ้าง เพื่อแสดงสีสันต่างๆออกมาให้เราได้เห็นกันครับ เช่นหากฉากในทีวีตอนนั้นเป็นสนามบอลเขียวชอุ่ม เจ้าตัว Liquid Crystal ที่ทำหน้าที่เป็น "ประตู" หน้าด่าน ก็จะเปิดในส่วนที่ให้แสงลอดออกไปเจอ Color Filter สีเขียวเท่านั้น หรือหากฉากเป็นท้องผ้าสีนำเงิน เจ้าประตู Liquid Crystal ก็จะถูกเปิดในส่วนที่ให้แสงลอดออกไปเจอ Color Filter สีน้ำเงินเท่านั้นครับ

alt
ดูจากรูปจะเข้าใจว่าประตู Liquid Crystal เปิด/ผิด/บิดตัว ให้แสงลอดออกมาผ่าน Color Filter 
ออกมาเป็นแสงสีต่างๆ ในตัวอย่างลอดออกมาเป็นสีแดงนะครับ

สรุปขั้นตอนการแสดงภาพของ LCD TV
1. หลอดไฟ Backlight ส่องสว่าง 
2. ประตู Liquid Crystal เปิด/ปิด/บิดตัวให้แสงจากหลอดไฟ Backlight ลอดผ่าน 
3. แสงลอดผ่าน Color Filter ที่เป็นแม่สี RGB แสดงออกมาเป็นสีต่างๆ

คำถามวัดความเข้าใจ ???
ถ้าทีวีจะแสดง "สีขาว" ประตู Liquid Cyrstal จะต้องเปิดให้แสงจากหลอด Backlight ลอดผ่าน Color Filter สีอะไรบ้าง ???
ตอบ ก็ต้องลอดผ่านทั้ง 3 สี เลย คือ แดง น้ำเงิน เขียว จะผสมรวมกันได้เป็น "สีขาว" ครับ ให้นึกถึงโลโก้ช่อง 7 สีเอาไว้


alt
โลโก้ช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ บอกถึงการผสมสีหลักอย่าง RGB = Red, Green, Blue
ออกมาเป็นแม่สีรองอย่าง CMY = Cyan Magenta Yellow
หาก RGB ผสมรวมกันทั้ง 3 สี จะได้ "สีขาว" นะครับ 
 

LCD TV ทีวีจะมีหลายขนาดมากๆ ไล่ตั้งแต่ 15 นิ้ว ไปจนถึง 108 นิ้ว (ของSharp เค้านะครับ) โน้นเลยนะครับ

ข้อดีของ LCD TV1. ให้แสงสี่ที่สว่างสดใสกว่า  
2. เหมาะสมกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์แลต่อกับเครื่องเล่นเกมส์มากกว่าด้วยความละเอียดจอภาพที่มากกว่า
3. เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่สว่างสูง เช่นห้องนั่งเล่นหรือ ห้องรับแขกที่ไม่จำเป็นต้องคุมแสงได้ หรือท่านที่จะซื้อเพื่อใช้ไปติดตั้งในร้านค้าหรือร้านอาหาร  LCD TV ก็จะเหมาะสมกว่า
4. อาการ Burn-In หรือภาพไหม้ค้างติดหน่าจอจะไม่โอกาสไม่เกิดขึ้นเลย
5. แอลซีดีทีวียังกินไฟน้อยกว่า และหน้าจอร้อนน้อยกว่าด้วย
6. สามารถทำจอ LCD ขนาดเล็กๆอาทิเช่นจอมือถือ ไปจนถึงจอขนาดยักษ์ใหญ่ๆ 100 กว่านิ้วก็ยังได้

ข้อเสียของ LCD TV1. ยังมี Backlight รั่วอยู่ให้เห็นในฉากมืด ถึงแม้ประตู Liquid Crystal จะปิดเพื่อแสดงสีดำ แต่ก็ยังมีแสงลอดออกมาได้อยู่ดี สีดำจึงไม่ค่อยดำสนิทเท่าที่ควร
2. ความเร็วในการแสดงภาพเคลื่อนไหวจะไม่ได้ลื่นไหลสุดๆ จะยังมีโกสท์ให้เห็นบ้าง
3. ด้วยระดับความสว่างและสีสันที่สดใสที่มากไป (ส่วนใหญ่โหมดภาพสำเร็จรูปตั้งมาแบนี้) อาจจะทำให้ปวดตาได้ง่ายกว่า 



PLASMA TV จอภาพแบบ Plasma TV เป็นจอทีวีที่สามารถกำเนิดแสงได้เอง กล่าวคือ เพียงแค่ปล่อยแรงดันไฟเข้าไปกระตุ้นเม็ดพิกเซลก็จะส่องสว่างได้เอง โดยเม็ดพิกเซลของ Plasma TV นั้นจะมี ก๊าซ Neon และ Xenon บรรจุอยู่ข้างในก็จะแตกตัวเป็น UV ซึ่งเมื่อเจ้า UV ไปกระทบกับสาร Phospor ซึ่งเป็นสารเรื่องแสงที่เคลือบไว้ ก็จะก่อนให้แสงสีต่างๆออกมา

สรุปง่ายๆหลักการทำงานของ Plasma TV คือหากต้องการให้เม็ดสีไหนส่องสว่าง ก็แค่ปล่อยแรงดันไฟฟ้าเข้าไปครับ เม็ดพิกเซลก็จะส่องสว่างขึ้นมาเองรวดเร็วทันใจมากมาย เพราะว่า "ก๊าซ" มันไวกว่าพวก "ของแข็งของเหลว" เหมือนที่เราเคยเรียนมาตอนเด็กๆนั่นแหละครับ
alt
เมื่อก๊าซ Neon และ Xenon ถุกแรงดันไฟฟ้าระตุ้นก็จะแตกตัวเป็น UV โดยเมื่อ UV 
ไปกระทบ Phospor ทีเป็นสารเรืองแสง จึงทำให้เม็ดมิกเซลส่องสว่างออกมา

 
ข้อดีของ Plasma TV1. สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวได้ดีกว่า ลื่นไหลกว่า เพราะเม็ดพิกเซลสามารถกำเนิดแสงเองได้ เหมาะกับพวกหนัง Action และกีฬามาก
2. สามารถแสดงสีดำให้ดำสนิทและลึกมีมิติกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่อง Backlight รั่ว
3. มีคอนทราสต์ที่สูงกว่าทำให้เห็นมิติของภาพได้ดีกว่า
4. มุมมองจอภาพที่กว้างกว่า LCD TV มองด้านข้างสีไม่ซีดจาง
5. ให้สีสันที่ถูกต้องเป็นธรรมชาติมากกว่า ไม่ได้สดจนโอเวอรืเกินจริง
6. ระดับความสว่างของภาพและโทนสีเป็นมิตรต่อสายตามากกว่า ดูนานๆโอกาสปวดตาน้อยกว่า

ข้อเสียของ Plasma TV1. อาการ Burn-In มีโอกาสเกิดขึ้นได้ถ้าเปิดภาพนิ่งเป็นเวลานานๆ เช่นโลโก้ช่อง 7 หรือโลโก้ True Vision เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์ ศึกษาเรื่อง Burn In เพิ่มเติม >> คลิ๊กเลย <<
2. ไม่เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่คุมแสงไม่ได้เช่นห้องที่มีความสว่างจากหลอดไฟสูงๆ หรือกลางแจ้ง
3. หน้ากระจก ทำให้เกิดการสะท้อนเป็นเงาได้
4. กินไฟมากกว่า และหน้าจอร้อนมากกว่า

แล้วสรุปเลือกตัวไหนดีกว่ากันระหว่าง LCD TV VS Plasma TV ?

LCD หรือ LED TV และ Plasma TV มันไม่มีอย่างไหนดีกว่ากัน เพราะมันดีกันคนละแบบครับ !!! 
โดยแต่ละตัวก็มีข้อดี+ข้อด้อยแตกต่างกันออกไป  ดังนี้เราจึงต้องศึกษาอ่านรีวิว+บทความ และไปทดลองรับชมภาพจริงๆทีเพื่อเลือกทีวีที่ "เหมาะสม" กับ "ห้องของเรา" และ "ไลฟ์สไตล์ของเรา" มากที่สุดครับ 
alt
จะซื้อทีวี ต้องเข้าใจคำว่า "Matching"
 

การเลือกซื้อทีวีคือ "ศาสตร์" ที่เรียกว่าการ "Matching" ครับ หากคนเล่นเครื่องเสียงจะเข้าใจความหมายนี้ดี

เลือกโดยปัจจัยหลักเหล่านี้
1. ยี่ห้อ :: ความชื่นชอบ / ชื่อเสียง / แนวภาพ
2. ขนาดของจอ :: ใกล้ๆ = จอเล็ก / ไกลๆ = จอใหญ่ เป็นต้น
3. ประเภทของจอ :: LED TV / LCD TV / Plasma TV

ให้เหมาะสมกับ
1. ห้องที่เราจะเอาไปตั้ง :: ห้องนอน / คอนโด / ห้องนั่งเล่น / ห้องโฮมเธียเตอร์ / คุมแสงได้ดีหรือไม่ ?
2. ไลฟ์สไตล์ของเรา 
3. งบประมาณ
alt
Macthing = การเลือกทีวีให้เหมาะสมกับตัวคุณและห้องของคุณ
 

และไม่จำเป็นต้องเลือกทีวีตัวที่ดีที่สุดเสมอไป และอย่างที่บอกไลฟ์สไตล์ของคนเราไม่เหมือนกัน ฉะนั้นการที่จะไป "ตัดสิน" ว่า LCD TV หรือ Plasma TV ตัวไหนดีกว่ากัน ? มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดของคำถามนี้บนโลกใบนี้ !!! แต่กลับกันหากเรายึดหลัก "Matching" ทีวีให้เหมาะสมกับเรามากที่สุดทั้งเรื่องของ ห้องที่จะวาง / ไลฟ์สไตล์ / งบประมาณ ทีวีเครื่องนั้นก็จะสามารถสร้างความสุขให้กับคุณได้อย่างเต็มที่โดยคุณไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลังเรื่องอื่นๆอีกเลย  

ตัวอย่างการ Matching LCD TV หรือ Plasma TV ให้เหมาะสมกับผู้ใช้1. LCD TV มันเหมาะสมกับห้องคุณมากกว่านะ เพราะว่า ตั้งไว้ในห้องรับแขก คุมแสงไม่ค่อยได้ ดูหนังไฮเดฟกับเล่นเกมส์บ่อย ต่อคอมบางครั้งบางคราว LCD TV น่าจะเหมาะกว่านะ

2. ห้องคุมแสงได้ดีระดับนึง ชอบภาพนวลสบายตา ดูหนังไฮเดฟและฟรีทีวีบ่อยมาก ขอไม่แพงนักแต่ได้จอใหญ่ๆสะใจ ==> ก็แนะนำ Plasma TV

3. เพิ่งเปิดโรงแรม ต้องการทีวีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ทนทาน+ทนไม้ทนมือแขกมือบอนที่ชอบเปิดทิ้งไว้นานๆ ไม่ร้อนง่าย เอาราคาถูกๆด้วย ==> ก็ LCD TV 32" ไปเลยครับเพ่

4. ชอบภาพแนวโรงหนัง ขอภาพเคลื่อนไหวลื่นๆเป็นธรรมชาติหน่อย แต่ห้องคุมแสงได้ระดับนึงแต่ไม่ถึงกับดีมาก มีม่านบังตาบ้าง ==> ก็แนะนำ Full HD Plasma TV รุ่นท็อปๆที่จอกันสะท้อนได้ดี

5. ชอบภาพสีสดใส แต่ขอจอบางๆหน่อยนะ เพราะอยู่คอนโดต้องแขวนผนัง แบบว่ามีพื้นที่จำกัด และรวมถึงชอบดีไซน์บางเฉียบล้ำๆด้วย ดู Blu-ray และ DVD บ่อยๆ ดูฟรีทีวีจากจานแดงบ้าง (ติดกันทั้งคอนโด) ระยะห่างประมาณ 2 เมตร ==> แนะนำจอ LCD TV ที่ใช้หลอดไฟ Backlight แบบ LED ขนาดจอ 40" ไปเลยครับท่าน 

หมายเหตุ :: 5 ข้อข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างจากประสบการณ์ของผมและทีมงานเท่านั้น ส่วนการ "Matching" เลือกซื้อทีวีให้เหมาะสมกันตัวท่านนั้น นอกจากศึกษาในเว็บแล้ว สิ่งที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือควรจะต้องไปดูตัวจริง ภาพจริง ดีไซน์จริงๆ ที่ห้างร้านด้วยครับ  จะช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น

รวมถึงเรื่องไลฟ์สไตล์ด้วยครับ เป็นสิ่งที่เป็นปัจจัยแรกๆในการตัดสินใจซื้อของหลายคนมากกว่าคุณภาพของภาพด้วยซ้ำ อาทิเช่น ดีไซน์ความบาง สีของตัวเครื่อง ความชื่นชอบจงรักภักดีต่อแบรนด์ ซึ่งจะยิ่งเป็นเหตุผลส่งเสริมให้คุณหาทีวีตัวที่ "เหมาะสม" กับคุณได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกระดับ

ผมยกอีกหนึ่งตัวอย่างคำถามโลกแตกเลยนะครับ

iPhone หรือ Blackberry อันไหนดีกว่ากัน ?
หากเป็นพวกหัวรั้น ก็จะตอบสิ่งที่ตัวเองใช้อยู่ เช่น iPhone 4 สิ จอใหญ่กว่า กล้องชัดกว่า มี Apps เยอะแยะเป็นหมื่นเป็นแสนให้โหลดให้เล่น หรือ BB สิ Chat กันทั้งกลุ่มได้นะ แล้วก็หากเหตุผลร้อยแปดมาเถียงกันจนหัวชนฝา
alt
คำถามโลกแตก Blackberry VS iPhone
 

แต่หากมาถามผมว่าผมจะเลือกใช้อะไร ? ผมคงตอบได้เต็มปากว่า "Blackberry" มัน "เหมาะสม" กับผมมากกว่า iPhone ครับ เพราะ Lifestyle ของผมครับ ชอบมือถือที่มีปุ่มกดจริงๆ มันสัมผัสแล้วได้ความรู้สึกกดลงไป งานผมเน้นเช็ค E-Mail ซึ่งมาเยอะมากๆต่อ 1 วัน ระบบ Push mail มันรวดเร็วมาก ตอบสนองผมได้ทันใจ แล้วพิมพ์ E-Mail ตอบกลับได้ง่ายอีกต่างหาก รวมถึงเข้าเว็บไซต์นิดๆหน่อย เช็ค Facebook ขำขันได้ แถมแบตเตอรี่อยู่ทนพอสมควร ผมเป็นพวกขี้เกียจชาร์จมือถือบ่อยๆ

ดังนี้ Blackberry มันเลยตอบโจทย์ผมได้มากกว่า จึงเป็นมือถือที่ "เหมาะสม" กับผมมากกว่า แต่ผมไม่ได้บอกเลยว่ามันดีกว่า iPhone กลับกันผมคิดว่า iPhone โดยรวมแล้ว "ล้ำหน้ากว่า Blackberry" ไปหลายก้าวด้วยซ้ำ (รู้ๆกันอยู่) ลูกเล่นเยอะกว่า Blackberry ของผมมากมาย มี Apps แปลกๆให้โหลดกระจาย จอกว้างใหญ่ ดูไฮโซหรูหราอินเทรนด์สุดๆ แต่ผมพินิจพิเคระาห์แล้วว่า ด้วย Lifestyle ของผมเป็นแบบนี้ Blackberry มันจึงเหมาะกับผมมาก ทุกวันนี้ก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผมได้มากมายและมีความสุขที่ได้มีมันอยู่ในกระเป๋ากางเกงจนมาถึงทุกวันนี้ ดังนี้อย่างที่บอก "จง Matching ให้เหมาะสม" แต่จงอย่าตัดสินว่า "ตัวนั้นดีกว่าตัวนี้" !!!! 


สุดท้ายนี้
นายโรมันหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับท่านให้เลือกทีวีให้เหมาะสมกับตัวของท่านและการใช้งานของท่านได้นะครับ